หวานๆ

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

การประคบสมุนไพร

การประคบสมุนไพร  

 
    


       การ ประคบสมุนไพร คือ การใช้สมุนไพรมาห่อด้วยผ้าเป็นลูก เรียกว่า ลูกประคบ นำลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวดหรือเคล็ด ขัดยอก จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดเคล็ดขัดยอกได้ สมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย เมื่อนึ่งร้อนแล้วน้ำมันหอมระเหยซึ่งเป็นตัวยาจะออกมากับไอน้ำและความชื้น เมื่อประคบตัวยาเหล่านั้นจะซึมเข้าในผิวหนัง ช่วยรักษาอาการเคล็ด ขัดยอก และอาการปวด นอกจากเน้นแล้ว ความร้อนจากลูกประคบจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ทั้งกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้เกิดความสดชื่นด้วย

 
        อุปกรณ์การทำลูกประคบ
1. ผ้าดิบสำหรับห่อลูกประคบ ขนาด 35 x ยาว 35 เซนติเมตร 2 ผืน
2. เชือก ด้ายดิบ หรือหนังยาง
3. ตัวยาที่ใช้ทำลูกประคบ
4. เตา พร้อมหม้อสำหรับนึ่งลูกประคบ
5. จานหรือชามอลูมิเนียมเจาะรู (เพื่อให้ไอน้ำผ่านได้) สำหรับรองลูกประค


 
 
      ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ (ลูกประคบ 2 ลูก)
1. เหง้าไพล (500 กรัม) สรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ
2. ผิวมะกรูด ถ้าไม่มีให้ใช้ใบแทนได้ (200 กรัม) สรรพคุณ มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน
3. ตะไคร้ (200 กรัม) สรรพคุณ แต่งกลิ่น
4.ใบมะขาม (100 กรัม) สรรพคุณ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว
5. ขมิ้นชัน (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง
6. ใบส้มป่อย (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดันโลหิต
7. เกลือแกง (60 กรัม) สรรพคุณ ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น
8. การบูร (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้พุพอง
9. พิมเสน (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้หวัด


 
 
     วิธีการทำลูกประคบ
1. หั่นหัวไพล ขมิ้นชัน ต้นตะไคร้ ผิวมะกรูด เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาตำพอหยาบ ๆ
2. นำใบมะขาม ใบส้มป่อย ผสมกับสมุนไพรข้อ 1 เสร็จแล้วให้ใส่เกลือ การบูร คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียว แต่อย่าให้แฉะเป็นน้ำ
3. นำตัวยาที่จัดเตรียมเรียบร้อย แล้วใส่ผ้าดิบห่อเป็นลูกประคบประมาณลูกส้มโอ (น้ำหนักประมาณ 400 – 500 กรัม) รัดด้วยเชือกให้แน่น
(ลูกประคบเวลาถูกความร้อนยาสมุนไพรจะฝ่อลงให้รัดใหม่ให้แน่นเหมือนเดิม)
4. นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งในหม้อนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 15-20 นาที
5. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบคนไข้ที่มีอาการต่าง ๆ โดยสับเปลี่ยนลูกประคบ

 
 
     วิธีการประคบ
1. จัดท่าคนไข้ให้เหมาะสม เช่น นอนหงาย นั่ง นอนตะแคง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะทำการประคบสมุนไพร
2. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบบริเวณที่ต้องการประคบ (การทดลอบความร้อนของลุกประคบคือแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือของผู้ประคบก่อน)
3. ในการวางลูกประคบบนผิวหนังคนไข้โดยตรงในช่วงแรก ๆ ต้องทำด้วยความเร็ว วางแช่นาน ๆ เพื่อป้องกันคนไข้จากการลูกลวกด้วยความร้อน
4. เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงก็สามารถเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกที่นึ่งได้ที่ (นำลูกเดิมไปนึ่งต่อ) ทำซ้ำตามข้อ 2 , 3 , 4

 
 
     ประโยชน์ของการประคบ
1. บรรเทาอาการปวดเมื่อย
2. ช่วยลดอาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ หลัง 24-48 ชั่วโมง
3. ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
4. ช่วยให้เนื้อเยื่อ พังผืด ยืดตัวออก
5. ลดการติดขัดของข้อต่อ
6. ลดอาการปวด
7. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

 
       ข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะกับบริเวณผิวหนังอ่อน ๆ หรือบริเวณที่เคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าต้องการใช้ควรมีผ้าขนหนูรองก่อนหรือรอจนกว่าลูกประคบจะคลายร้อนลงจากเดิม
2. ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้า อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ พองได้ง่าย ถ้าต้องการใช้ควรจะ “ ใช้ลูกประคบที่อุ่น ๆ ”
3.ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีแผลการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมง แรกอาจจะทำให้บวมมากขึ้น
4. หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ำทันทีเพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และอุณหภูมิของร่างกายปรับเปลี่ยนไม่ทันอาจจะทำให้เป็นไข้ได้

     วิธีเก็บรักษา
1. ลูกประคบสมุนไพรที่ทำในแต่ละครั้ง สามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ 3-5 วัน
2. ควรเก็บลูกประคบไว้ในตู้เย็น จะทำให้เก็บได้นานขึ้น ควรตรวจลูกประคบด้วย ถ้ามีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยวไม่ควรเก็บไว้)
3. ถ้าลูกประคบแห้ง ก่อนใช้ควรพรมด้วยน้ำหรือเหล้าขาว
4. ถ้าลูกประคบที่ใช้ไม่มีสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนลงแสดงว่ายาที่ใช้จืดแล้ว (คุณภาพน้อยลง) จะใช้ไม่ได้ผลควรเปลี่ยนลูกประคบใหม่
 
 อ้างอิงจาก www.ittm.dtam.moph.go.th  www.google.com

การฝังเข็ม

เวชศาสตร์แผนจีน (ฝังเข็ม)

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยอมรับการรักษาโรคและหรือบรรเทาอาการด้วย วิธีฝังเข็ม ไว้ดังนี้
1. การรักษาที่ได้ผลเด่นชัด เป็นพิเศษ
         อาการปวด ปวดต้นคอเรื้อรัง หัวไหล่ ข้อศอก สันหลัง ปวดเอว ปวดหัวเข่า ปวดจากโรครูมาตอยด์ ปวดจากการเคล็ดขัดยอก ปวดประจำเดือน ปวดนิ่วในถุงน้ำดี ปวดศีรษะ มีสาเหตุมาจากความเครียด หรือก่อนการมีประจำเดือน ปวดเนื่องจากสาเหตุต่างๆ ปวดในระบบทางเดินปัสสาวะ ปวดเส้นประสาท หรือปวดเส้นประสาทบนใบหน้า ปวดหลัง การผ่าตัด ปวดไมเกรน อาการซึมเศร้า
         โรคอาการทั่วไป อัมพฤกษ์ และผลข้างเคียงหลังจากป่วยด้วยโรคทางสมอง ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ งูสวัด เม็ดเลือดขาวน้อยกว่าปกติ สมรรถภาพทางเพศถดถอย ภูมิแพ้ หอบหืด หวาดวิตกกังวล นอนไม่หลับ ขากรรไกรค้าง แพ้ท้อง คลื่นเหียรอาเจียน การเลิกเหล้าบุหรี่ ยาเสพติด
2. การรักษาที่ให้ผลดี อาการเจ็บเฉียบพลันหรือเรื้อรังในลำคอ (ต่อมทอนซิล) อาการวิงเวียนศีรษะสาเหตุจากน้ำในช่องหู สายตาสั้นในเด็ก เด็กในครรภ์มารดาอยู่ในท่าขวาง (ทำให้คลอดยาก) อาการผิดปกติของลำไส้เมื่อเกิดความเครียด
3. การรักษาที่ได้ผล ท้องผูก ท้องเดิน การมีบุตรยาก ที่มีสาเหตุจากทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย กระเพาะอาหารเลื่อนต่ำ เรอบ่อย ปัสสาวะไม่รู้ตัว ไม่คล่อง ไซนัสอักเสบ หญิงหลังคลอดมีน้ำนมไม่พอ
การฝังเข็ม (Acupuncture) คืออะไร
         การฝังเข็ม เป็นวิธีการแทงเข็มรักษาโรคด้วยการใช้เข็ม ซึ่งมีหลายขนาด แทงลงไปตรงตำแหน่งของจุดฝังเข็มตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยใช้หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน
การฝังเข็มเจ็บหรือไม่
         ขณะที่เข็มผ่านผิวหนัง จะมีอาการเจ็บอยู่บ้างแต่ไม่มาก และเมื่อเข็มแทงเข้าไปลึกถึงตำแหน่งของจุดฝังเข็ม จะมีอาการปวดตื้อๆ หรือปวดหน่วงๆ และปวดร้าว ไปตามทางเดินของเส้นลมปราณ
เข็มที่ใช้ฝังเป็นอย่างไร
         เข็มที่ใช้ในการฝังเข็ม มีขนาดเล็กและบางมาก เป็นเข็มตัน ปลายตัด ไม่มีสารหรือยาชนิดใดเคลือบเข็มอยู่ เข็มที่ใช้ในหน่วยเวชศาสตร์แผนจีน ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนเป็นเข็มใหม่ จะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่นำกลับมาใช้ใหม่โดยเด็ดขาด
ชนิดการรักษาในหน่วยเวชศาสตร์แผนจีน
         1. การฝังเข็มร่างกาย (Body Acupuncture)
         2. การฝังเข็มที่ศีรษะ (Scalp Acupuncture)
         3. การฝังร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า (Electro Acupuncture)
         4. การฝังเข็มหรือ Magnetic Ball บนใบหู (Ear Acupuncture)
         5. การเคาะกระตุ้นผิวหนัง (Cutaneous Needle)
         6. การเจาะปล่อยเลือด (Blood Letting)
         7. การครอบแก้ว (Cupping)
         8. การรมยา (Moxibution)
การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
         หลังจากที่ฝังเข็มแล้ว ใช้สายไฟเชื่อมต่อกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าชนิดพิเศษโดยเฉพาะ เป็นกระแสไฟฟ้าตรงประมาณ 9 โวลท์ จึงไม่สามารถทำให้เกิดไฟดูดได้ แต่จะรู้สึกกระตุ้นที่กล้ามเนื้อเป็นจังหวะ แรงพอทนได้ ทำให้เข็มกระดิก เป็นจังหวะตามกระแสไฟฟ้า และไม่ทำให้เจ็บปวดจนทนไม่ได้
การครอบแก้ว (Cupping)
         เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่มีการติดขัด ทำให้รักษาอาการปวดได้ หลังจากการทำแล้ว บริเวณผิวหนังอาจมีสีม่วงคล้ำเป็นจ้ำ แต่ไม่มีอันตราย และจะหายได้เองในเวลา 1-2 สัปดาห์
ข้อห้ามในการฝังเข็ม
         1. สตรีตั้งครรภ์
         2. โรคมะเร็ง (ที่ยังไม่ได้รับการรักษา)
         3. โรคหลอดเลือดที่มีความผิดปกติของระบบแข็งตัวของเลือด
         4. โรคที่ต้องการการรักษาด้วยการผ่าตัดอย่างแน่นอน
การเตรียมตัวก่อนการฝังเข็ม
         1. รับประทานอาหารก่อนมาฝังเข็มเสมอ เพราะถ้าฝังเข็มในช่วงผู้ป่วยหิวหรืออ่อนเพลีย จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นลมง่าย
         2. พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ ไม่อ่อนเพลีย
         3. ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป ควรสวมกางเกงที่หลวม และสวมเสื้อแขนสั้น
         4. ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
การฝังเข็มรักษาโรคอะไรได้บ้าง
             ฝังเข็มสามารถรักษาโรคได้มากมาย ได้แก่
         - กลุ่มอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดเข่า ปวดไมเกรน ปวดศีรษะ ปวดประจำเดือน
         - อัมพฤกษ์ อัมพาต
         - โรคทางหู เช่น มีเสียงดังผิดปกติในหู หูดับ
         - โรคภูมิแพ้ หวัดเรื้อรัง และหอบหืด
         - โรคเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า
         - โรคทางผิวหนัง เช่น สิว ฝ้า ผมร่วง งูสวัด ผื่นต่างๆ
         - โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน
         - โรคระบบทางเดินอาหารและลำไส้ เช่น ท้องผูก ท้องเดิน ริดสีดวงทวาร สะอึก ปวดท้องเรื้อรัง
         - โรคความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำ
         - โรคเบาหวาน
         - ลดความอ้วน และเพิ่มน้ำหนักในคนผอม
         - เลิกยาเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด
         - เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ วัยทองทั้งหญิงและชาย
         - โรคอื่นๆ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป
ข้อแนะนำในการฝังเข็ม
         1. ขณะฝังเข็ม ควรอยู่ในท่านั่งหรือนอน ไม่เครียดจนเกินไป หรือตามคำแนะนำของแพทย์
         2. ขณะรับอาการฝังเข็ม อาจมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการปวดมากขึ้น หน้ามืดเป็นลม ต้องรีบแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบทันที
         3. หลังจากที่ฝังเข็มและคาเข็มไว้แล้ว ควรนั่งพักหรืออยู่ในท่านั้นๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที ไม่ควรขยับเขยื้อนแขนขา หรือบริเวณที่เข็มคาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เข็มบิดงอ จะทำให้ปวดได้
ต้องมารับการรักษาฝังเข็มนานเท่าไร
          จะต้องมาฝังเข็มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และต้องมาฝังเข็มอย่างน้อย 10 ครั้ง หรือแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์


อ้างอิงจาก www.tm.mahidol.ac.th  www.google.com  www.youtube.com

ยาลดความอ้วน

ยาลดความอ้วน (ตามคลินิคหมอ) อันตราย
 

 ยาชุดที่ใช้ตามคลินิกทั่วไปมีดังนี้ค่ะ
1 Phentermine HCL เป็นยาหลักที่ใช้กดสมองส่วนกลางไม่ให้เกิดความอยากอาหาร ยาชนิดนี้ เป็นยาที่ดัดแปลงมาจากยาแอมเฟตามีน (Amphetamine) ที่ อย. อนุญาตให้ขายในเมืองไทยมีขนาด 15 และ 30 mg ผลข้างเคียงที่อาจพบได้คือ กระวนกระวาย ปวดศีรษะ เหงื่อออก ปากแห้ง คลื่นไส้ ท้องอืด ส่วนใหญ่จะเกิด yoyo effect หลังหยุดยา ไม่ควรใช้เกิน 30 mg /วัน เพราะฉนั้นถามผู้ที่จ่ายยาคุณก่อนรับทุกครั้งนะคะ ลักษณะเม็ดยา มักจะเป็น capsule สี เขียวเข้ม-ขาว,แดง-ขาว,และเป็น capsule ที่เป็นเม็ดเล็กๆข้างใน

2 Thyroid hormone อันตรายมาก มีสีต่างๆกัน ในคนปกติ ถ้ากินจะมีอาการเหมือนคนที่เป็นคอพอกเป็นพิษ ใจสั่น วูบวาบ คนจ่ายยามักใช้เพื่อเร่งการเผาผลาญ (metabolism)

3 ยาขับปัสสาวะ มัก เป็น lasix หรือ HCTZ เม็ดอาจเป็นสี ขาว ส้ม ฟ้า แล้วแต่ แต่ไม่รู้ให้มาทำไมฉี่บ่อย กินไปก้อออกแต่น้ำอันตรายหนักเข้าไปอีกบ้าจริงๆ เนื่องจากหมอจะใช้เป็นยาลดความดันค่ะ ลองนึกดูว่าถ้าคนความดันปกติไปกินล่ะก้อ ความดันตกฮวบแน่ๆ

4 ยาระบาย อันนี้พอไหวเนื่องจาก phentermine ทำให้ท้องผูก

5 ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าไม่ให้ในขนาดที่สูงเกินไปก้อพอทนรับได้ แต่ถ้าเราไม่ได้กินอาหารเลยล่ะก้อ เสร็จแน่ๆ ระดับน้ำตาลในเลือดถ้าต่ำกว่า 70 mg/dl ละก้อ จะอ่อนเพลีย แต่ถ้าต่ำกว่า 50 ละก้อ ช้ากแหง่กๆๆๆๆ สถานเดียว

6 Fluoxetin ยาชนิดนี้ เป็นยาลดอาการซึมเศร้า แต่มีผลต่อการลดน้ำหนักด้วย ขนาดปกติที่ใช้คือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แน่นอน โดยเชื่อว่ายาจะทำให้ความอยากอาหารลดลง เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาชนิดนี้คือ อ่อนเพลีย ท้องเดิน เหงื่อออก นอนไม่หลับ กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน

7 ยาหลอก มักเป็นพวกแป้ง หรือวิตามิน ใส่เข้าไปในชุดให้มันดูเยอะๆไปยังงั้นแหละ จะได้คิดราคาแพงๆได้
****** ถ้าได้ยาเป็น capsule สีเทาแดง ละก้อ นั่นแหละ ยาทำปลอมหรือไม่ก้อเป็นยาที่ถูก อย. เพิกถอนไปแล้วเนื่องจากทำให้ !!!! ตายได้ !!!!

### ยาลดน้ำหนักออกใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

1 Sibutramine (Reductil@ ) มีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น เป็น capsule สี น้ำเงินเหลือง (10mg)' และ น้ำเงินขาว (15mg)
ถ้า เป็นสีอื่น ยี่ห้ออื่น ของปลอมชัวร์ ออกฤทธิ์ด้วยการช่วยให้ความอยากอาหารน้อยลง เร่งการเผาผลาญนิดหน่อย ไม่ค่อยเกิด yoyo แต่ราคาแพง 10mg =100bath/capsule, 15 mg= 150 bath/ capsule กินได้วันละไม่เกิน 15 mg และห้ามใช้ร่วมกับ phentermine

2 Xenical อันนี้ดี ช่วยดักจับไขมันที่กินเข้าไปทำให้อึ๊ ออกมาเป็นมันแผล็บ แต่ข้อเสียคือ ก้นมันมาก บางครั้งมีไขมันแพลมออกมาก๊ะตด ด้วย อึ๋ย อึ่ย อึ๋ย อ้วก ลักษณะเป็น capsule สีฟ้า ราคาประมาณ 50 bath/ capsule อาจกินเฉพาะวันที่เรากินอาหารมันมาก ไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน

      เห็นแล้วรึยังว่าอันตรายของยาลดความอ้วนมีมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นแล้วเราควรจะหันมาออกกำลังกายกันจะดีกว่า ด้วยความหวังดีนะคะ^^
 อ้างอิงจาก www.shopbegin.com   www.google.com

มวยไทเก็ก

 ประโยชน์ของมวยไทเก็ก

      ชาวจีนเชื่อว่าหากฝึกมวยไทเก็ก อย่างถูกต้องเป็นประจำวันละ 2 รอบ เป็นเวลานาน ๆร่างกายจะอ่อนไหวอย่างเด็ก สุขภาพจะแข็งแรงอย่างคนตัดไม้และจิตสงบอย่างนักปราชญ์ความเชื่อนี้ไม่เกิน ความจริงเพราะคนที่ฝึกต่างได้รับผลอย่างนั้นหรือ…ยิ่งกว่านั้น

ประโยชน์ด้านร่างกาย

- กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดุก ทุกส่วนของร่างกายมีโอกาสได้เคลื่อนไหว รักษารูปร่างให้พอดี ไม่ผอม ไม่อ้วน

- เพิ่มประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนแกสที่ปอด ป้องกันวัณโรค ช่วยให้หายใจได้ลึก

- ทำให้หัวใจเต้นแรง แต่รักษาจังหวะช้า ๆ และสม่ำเสมอ

-รักษา และป้องกันอาการคั่งเลือดของร่างกาย การตีบตันและแข็งตัวของหลอดเลือดจึงเป็นการป้องกันเส้นดลหิตในสมองแตก (apolexcy) ช่วยการหมุนเวียนโลหิตจึงเป็นการป้องกันดรคอัมพาต (paralysis) และตะคริว (cramp) เป็นต้น

- ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และการขับถ่ายของเสีย

- ระบบประสาท และสมองได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเอง รวมทั้งระบบอื่น ๆ ด้วย

- ทำให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว และเย็นสบายในฤดูร้อนหลังจากมีเหงื่อออก

- บริหารไตให้แข็งแรง ซึ่งจะมีผลต่อร่างกายส่วนอื่นให้ดีขึ้น และช่วยสะเทิน (neutralization) อาหารที่เป็นพิษ

- ป้องกันการก่อตัวหรือตกตะกอนของหินปูน (lime) ในกระดูกของผู้สูงอายุ อันจะนำไปสู่โรค paraplegia

- ฝึกร่างกายให้อดทน ทำงานหนักได้ ไม่เหนื่อยง่าย (indefatigable) ไม่เป็นโรคอ่อนเพลีย (nurathenia)

- ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง ป้องกันผิวหนังร้อน (boil) โรค Psoriasis และสิวต่าง ๆ เป็นต้น

-สภาพร่าง กายที่ได้จากการฝึกฝน มวยไทเก็ก เป็นเวลายาวนาน :-แก้มจะมีสีแดงแสดงถึงความมีสุขภาพดี ขมับจะเต็มอิ่มขึ้นมา หูจะมีสีแดงเข้มการได้ยินจะว่องวัย ลูกตาจะมีประกายชีวิตชีวา เสียงจะดังและกังวาลไกลการหายใจจะเป็นปกติ ไม่หอบเหนื่อยหรือเร่งร้อน ฟัน เหงือกและขากรรไกรจะแข็งแรง ไหล่และอกจะแข็งแรงและเรียบ (sturdy and sluk)ท้องจะแข็งแต่หยุ่นได้ (solid and elastic) คล้ายหนังกลองเมื่อยืนเท้าทั้งสองจะรู้สึกว่าติดแน่นกับพื้น และสามารถเปลี่ยนจาก “มี”เป็น “ไม่มี” หรือกลับกันได้ การก้าวเท้าจะเบากล้ามเนื้อจะอ่อนนุ่มดุจปุยฝ้าย ขณะที่ “พลังแท้จริง (จิ้ง)” ยังไม่ถูกใช้(inactive) แต่กล้มเนื้อจะเหนียวแน่น (stiff) ขึ้นเมื่อพลังงานแท้จริงถูกใช้ (active)นอกจากนี้ผิวหนังจะเรียบและผ่องใสออกสีชมพู (irosy)และว่องไวต่อการสัมผัสฟัง (sensitively auditive)

ประโยชน์ด้านจิตใจ

- ฝึกนิสัยให้เป้นคนหนักแน่น อดทน เยือกเย็น และมีขันติ

- ฝึกประสาทให้แหลมคม

- ฝึกสมาธิให้แน่วแน่ในการทำงาน

- ยกระดับจิตใจให้มีความเมตตา กรุณา เข้มใจเพื่อนมนุษย์และเข้าใจตนเอง

ประโยชน์ด้านการรักษาโรค และอาการผิดปกติของร่างกายและจิตใจ

- โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย และท้องผุก

- โรคประสาท ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ

- โรคโลหิตจาง (anemia) ความดันสูง-ต่ำ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หัวใจอ่อน และช้ำในจากการถูกกระแทก

-โรคทางกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ เช่น รุมาติสม์ กล้ามลีบ เหน็บชาอัมพาตกล้ามเนื้อ และรำ มวยไทเก็ก หลังจากต่อกระดูกที่หักแล้ว

- ยกระดับภูมิต้านทานโรคโดยส่วนรวม

  
อ้างอิงจาก www.google.com  www.doothaithai.com                             

กล้วยน้ำว้า

สุขภาพดีถ้วนหน้าด้วยกล้วยน้ำว้าสาระพัดประโยชน์



       แปลกใจบ้างไหมว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบให้เด็ก ทานกล้วยน้ำว้าบด ก็เพราะว่าใน กล้วยน้ำว้า มี โปรตีน และมี กรดอะมิโน อาร์จินิน และ ฮีสติดิน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก แถมยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย นั้นเป็นคุณค่าทางโภชนาการ คราวนี้เรามาดูกันว่า สรรพคุณทางยาของกล้วยน้ำว้า มีอะไรกันบ้าง
  1. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ และอาการเจ็บหน้าอกจากการไอแห้ง ทานวันละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลดน้อยลงได้
  2. ช่วยเรื่องกลิ่นปาก ทำให้ลดกลิ่นปากได้ดี วิธีรับประทานคือทานกล้วยน้ำว้าหลังตื่นนอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน จะช่วยลดกลิ่นปากได้
  3. ช่วยเป็นยาระบายแก้ท้องผูก หรือระบบขับถ่ายไม่ปกติ วิธีรับประทานคือ ทานกล้วยน้ำว้าสุก 1-2 ผล ก่อนนอน และดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้ดีในวันรุ่งขึ้น
  4. ช่วยแก้ท้องเดิน หรือ ท้องเสียได้ ในกล้วยน้ำว้าจะมีสารเทนนิน ซึ่งสามารถช่วยรักษาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรงได้ โดยการน้ำ กล้วยน้ำว้าดิบ หรือ กล้วยน้ำว้าห่าม มาปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มนานครึ่งชั่วโมง ดื่มครั้งละ 1/2- 1 ถ้วยแก้ว ให้ดื่มทุกครั้งที่ถ่าย หรือทุกๆ 1-2 ชม. ใน 4-5 ชม.แรก หลังจากนั้นให้ดื่มทุกๆ 3-4 ชม. หรือ วันละ 3-4 ครั้ง (ถ้ายุ่งยาก ก็หายามาทานก็ได้ค่ะ)
  5. ช่วยรักษาโรคกระเพาะได้ นำกล้วยน้ำว้าดิบมา ปอกเปลือก แล้วนำเนื้อมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แตกแดด 2 วัน ให้แห้งกรอบ บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำข้าว หรือน้ำผึ้ง ทานก่อนอาหาร ครึ่งชม. หรือก่อนนอนทุกวัน
  6. เปลือกกล้วยน้ำว้า ช่วยบรรเทาอาการคันอันเนื่องมาจากแมลงกัดต่อย และผื่นแดงจากอาการคันได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการ ต้านเชื้อรา และ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนอง
      รู้สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าอย่างนี้แล้ว รีบไปซื้อติดบ้าน ไว้รับประทานบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย
อ้างอิงจาก www.google.com  www.ohomylife.com

แอโรบิค แดนซ์

 แอโรบิค แดนซ์


 แอโรบิค แดนซ์(Aerobic Dance) หรือ แอโรบิคส์(Aerobics) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการออกกำลังกายยืดเหยียดประกอบจังหวะเพลงโดยมีจุด ประสงค์เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปกติจะเล่นกันเป็นกลุ่มโดยมีผู้นำและสามารถเล่นเป็นคนเดี่ยวโดยไม่มีเพลง ประกอบได้
ได้มีการนำการออกกำลังกายหลากหลายท่าทางเข้ามาประยุกต์ประกอบจังหวะ เพลงอย่างเป็นชุดของท่าทางต่างๆทำให้เกิดความสนุกสนานและเป็นการได้เหงื่อไป ในตัว อาจมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ได้จำแนกท่าทางจากเกณฑ์ความยากง่ายโดยผู้ให้คำปรึกษา เป็นระดับเบื้องต้น กลาง และระดับชำนาญแล้ว และเหตุด้วยที่แต่ละระดับมีความยากง่ายแตกต่างกัน การแบ่งเป็นออกระดับย่อยนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลในแต่ละระดับ สามารถให้คำปรึกษาและแก้ไขปรับปรุงท่าทางได้
แอโรบิคส์จัดให้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการออกกำลังการเพื่อการลดน้ำหนัก ปกติได้นำมาเล่นเพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขภาพและไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในการ ฝึกฝนเหมือนในระดับยิม โดยปกติแล้วผู้หญิงเล่นบ่อยกว่าผู้ชาย แม้ว่าจะเป็นการเล่นประกอบเพลง แต่ก็มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนการเต้มประกอบเพลงทั่วไป
ประโยชน์ของการเต้นแอโรบิค
การเต้นแอโรบิคอย่างเพียงพอและฝึกเป็นประจำสม่ำเสมอจะมีผลดีต่อร่างกายดังนี้
1.ระบบกล้ามเนื้อ
ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น สามารถเกร็งและคลายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการทำงานที่สมดุลกัน และทำให้รูปร่างสวยงามสมส่วนขึ้น เพราะว่าไขมันที่มาห่อหุ้มร่างกายอยู่ได้ถูกนำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงาน นอกจากนั้นยังจะช่วยทำให้มีการสะสมสารต้นกำเนิดพลังงานและสารที่เกี่ยวข้อง คือไกลโคลเจน เกลือแร่ ฯลฯ อีกด้วย

2.ระบบกระดูก
ทำให้ข้อต่อและระบบประสาทสั่งงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.ระบบการไหลเวียนของโลหิต
ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น หลอดเลือดต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น สามารถช่วยเพิ่มประมาณและคุณภาพของเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังจะช่วยทำให้ชีพจรและความดันโลหิตกลับเข้าสู่สภาพปกติได้อีกด้วย

4.ระบบการหายใจ
ช่วยให้ทางเดินหายใจ ปอด และ กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น

5.ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ช่วยเพิ่มอัตราความเร็วของขบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานของร่างกาย ช่วยทำลายเซลเสื่อมสภาพต่าง ๆ เพื่อเร่งให้ร่างกายสร้างเซลใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ นอกจากนี้ ยังช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น นอนหลับสบาย เมื่อตื่นขึ้นจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ทำงานได้อย่างกระฉับกระเฉง

6.ระบบควบคุม
ช่วยทำให้ร่างกายปรับสมดุลของระบบประสาทอัติโนมัติและระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ ออกมาอย่างเป็นปกติ

7.การทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทสำหรับผู้ที่เคร่งเครียดกับการทำงานหนัก

8.บุคลิค การเคลื่อนไหว และการจัดระเบียบร่างกาย
ทำให้ควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น ร่างกายโดยรวมมีความอ่อนตัว และเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้อารมณ์เบิกบานและจิตใจแจ่มใส มีสง่าราศี

9.ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟีน
ซึ่งก่อให้เกิดความสุข เพราะว่าขณะออกกำลังกาย อย่างมีความสุข ไร้การแข่งขัน จึงไม่มีความเครียด ซึ่งต่างกับการออกกำลังกายที่เน้นการแข่งขัน การออกกำลังกายที่เน้นการแข่งขัน ร่างกายจะหลั่งสารคนละตัว มีชื่อว่า อดีนาลีน ซึ่งตัวนี้ จะก่อให้เกิดความเครียด ผลของการออกกำลังกายจะต่างกัน รูปร่างหน้าตาจะสดใสต่างกัน
อ้างอิงจาก www.pirun.ku.ac.th  www.th.wikipedia.org  www.youtube.com 

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

วิธีใส่ถุงยางอนามัย






 ขั้นตอนง่ายๆในการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเอดส์
  วิธีใส่ถุงยางอนามัย

- หลังจากตรวจสอบว่า ถุงยางอนามัยไม่หมดอายุ ซองไม่มีรอยฉีกขาด ฉีกมุมซองโดยระมัดระวัง ไม่ให้เล็บมือเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด


- ใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว บีบปลายถุงยาง เพื่อไล่อากาศ



- รูดถุงยางอนามัย โดยให้ม้วนขอบอยู่ด้านนอ


 
- สวมถุงยางอนามัย แล้วรูดให้ขอบถุงยางอนามัย ถึงโคนอวัยวะเพศ


- หลังเสร็จกิจ ควรรีบถอดถุงยางอนามัย ในขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัว โดยใช้กระดาษชำระหุ้มถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระต้องระวัง ไม่ให้มือสัมผัสกับด้านนอกของถุงยาง ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยาง อาจจะปนเปื้อนเชื้อเอดส์แล้ว



- ทิ้งถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ลงในภาชนะรองรับ เช่น ถังขยะ


อ้างอิงจาก www.anamai.moph.go.th    www.thaiall.com    

โรคเอดส์

                                               โรคเอดส์ (HIV)

                              

                                          

โรคเอดส์

เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrom) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV - Human Immunodeficiency Syndrom) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น โดยเชื้อดังกล่าวจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวและเซลล์หลายชนิดในระบบภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญคือ CD4 ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายอ่อนแอ
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ที่ยังมีจำนวนเซลล์ CD4 มากกว่า 200 เซลล์ ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร     จะมีอาการแสดงได้หลากหลาย ขึ้นกับระยะของโรค เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่น อ่อนเพลีย หรือแม้ว่าไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งเรียกว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี เมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายมากขึ้น จนกระทั่ง CD4น้อยกว่า 200 เซลล์ ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร หรือมี Lymphpcytes เพียงร้อยละ 14 แล้ว จึงเรียกได้ว่า เป็นโรคเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งในระยะนี้อาการจะรุนแรงขึ้น โดยมีเหงื่อออกกลางคืน มีไข้หนาวสั่น ไข้สูงเรื้อรัง ไอเรื้อรังและหายใจลำบาก ท้องร่วงเรื้อรัง ลิ้นเป็นฝ้าขาว ปวดศีรษะ ตามัว น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และจะเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดอื่นๆ ได้งายขึ้น เช่นวัณโรค ปอดบวม เยื้อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็ง

การติดเชื้อ

เชื้อไวรัสเอดส์ พบมากที่สุดในน้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมา คือน้ำอสุจิ น้ำหลั่งในช่องคลอด และน้ำหลั่งต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย เช่นน้ำไขสันหลัง น้ำในช่องปอด น้ำในช่องท้อง น้ำในเนื้อเยื่อหัวใจ ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย และที่ไม่พบเชื้อดังกล่าวเลย คือ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ
ดังนั้น ไวรัสเอดส์จึงติดต่อโดยช่องทางสำคัญ 3 ช่องทาง ดังนี้
1. ทางเลือด
  • การใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์
    ซึ่งพบมากในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด
  • การรับเลือดขณะผ่าตัด หรือขณะรักษาโรค
  • การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ และขณะคลอด
2. ทางน้ำหลั่ง (น้ำจากช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ)
  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง   หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติก็ตาม
3. ทางน้ำนม
  • การแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูกหลังคลอด โดยผ่านทางน้ำนม                                                          

    อาการของโรคเอดส์

    อาการของโรคเอดส์ มี 2 ระยะ ดังนี้
    1.  ระยะไม่ปรากฏอาการ (Asymtomatic Stage)
    ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด สุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ เลือดจะให้ผลบวกหลังรับเชื้อประมาณ 6 สัปดาห์ ขึ้นไป ผู้ติดเชื้อส่วนมากอยู่ในระยะนี้ และไม่ทราบว่าตนเอดงติดเชื้อ
    2.  ระยะที่มีอาการ (Symtomatic)
    เป็นระยะที่เริ่มแสดงอาการภายหลังจากได้รับเชื้อเอดส์ประมาณ 7-8 ปี แบ่งย่อยเป็น 2 ระยะ คือ
    2.1  ระยะเริ่มปรากฏอาการ (Symtomatic HIV Infection)
    เดิมเรียกว่าเป็นระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ หรือ ARC (AIDS - Related Complex) ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน เช่น
    • มีเชื้อราในปาก บริเวณกระพุ้งแก้มและเพดานปาก
    • ต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
    • เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม
    • มีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง น้ำหนักลด
    2.2  ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    ระยะนี้ ภูมิต้านทานของผู้ป่วยถูกทำลายไปมาก   ทำให้ติดโรคที่มักไม่เป็นในคนปกติ ที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใดและเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย

    เอดส์ป้องกันได้

    วิธีการที่จะช่วยป้องกันและหยุดยั้งการติดเชื้อเอดส์ คือ การปิดกั้นช่องทางการติดต่อโรค และปัจจัยเสี่ยงที่นำสู่โรค ได้แก่
    • การไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์หรือป่วยเป็นเอดส์ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้ง
    • การไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนไม่ดื่มเหล้าและไม่ใช้สารเสพติด อันจะทำให้ขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ และการป้องกันตัวเองจากโรคภัยต่างๆ
    • การตรวจเลือดและขอรับบริการปรึกษาเรื่องโรคเอดส์ก่อนแต่งงานและก่อนที่คิดจะมีบุตร
    • หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น หากมีความจำเป็น ต้องเป็นเลือดที่ผ่านการทดสอบว่า ปราศจากเชื้อไวรัสเอดส์แล้วเท่านั้น
    อ้างอิงจาก www.kpo.moph.go.th  www.thai.cri.cn

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

การบำบัดด้วยอินฟราเรด

อ้างอิงจาก
www.google.com
www.chi-exercise.com
อินฟราเรดกับการบำบัดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง
ประสิทธิผลในการบรรเทาอาการเมื่อยล้า
คุณลักษณะพิเศษที่เป็นประโยชน์ที่สุดของเครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล คือสามารถใช้ในการขับของเสียออกจากร่างกายและเป็นการกระตุ้นเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้าและความเครียดที่มีประสิทธิภาพ
อาการเมื่อยล้าอาจจะเป็นผลมาจากการอ่านหนังสือ ทำงาน กิจกรรมด้านจิตใจที่มากเกินไป การออกกำลังกาย หรือ การใช้สายตา อาการเมื่อยล้าบางชนิดจะมีเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น สาเหตุและขอบเขตของอาการเมื่อยล้าชนิดต่างๆก็แตกต่างกันไป
เครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดบรรเทาอาการเมื่อยล้าโดยขับกรดแลกติก กรดไขมันอิสระ คลอเรสเตอรอล และไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังออกจากร่างกายโดยผ่านเหงื่อและต่อมใต้ผิวหนัง ดังนั้นจึงทำให้ลดการทำงานของไตลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น การมีส่วนเกี่ยวพันกับการขับเหงื่อจะปรับปรุงการทำงานของการไหลเวียนโลหิตและทำให้เลือด น้ำเหลืองและ ของเหลวอื่นมีคุณภาพมากขึ้น
เครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกลจะเพิ่มกระบวนการสร้างและย่อยสลายในผิวหนังและทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง อ่อนนุ่มและมีสุขภาพดี ในขณะเดียวกัน ผลจากความร้อนของเครื่องจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียจากต่อมเหงื่อในร่างกายออกมาเป็นเหงื่อ  คุณลักษณะเหล่านี้ อธิบายได้ว่าทำไมเครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล ถึงมีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาต่างๆเช่น ปวดศีรษะ ไหล่ปวดและยึด และ ปวดหลัง
การบรรเทาอาการไหล่ยึดและอาการปวดหลัง
 
สภาวะหลายประการ สามารถเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง ในสาเหตุทั้งหลายสาเหตุที่ธรรมดาที่สุดคือ อาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติส่วนกลาง ข้อต่อเรียงตัวผิดรูปร่าง ข้อต่อเรียงตัวผิดรูปร่าง โรคร้ายในอวัยวะภายใน และ อาการผิดปกติของระบบการคัดหลั่งของต่อมไร้ท่อในร่างกาย
เครื่องฮอทเฮ้าส์ มีประสิทธิภาพในการรักษากล้ามเนื้อเมื่อยล้า และปัญหาของระบบประสาทอัตโนมัติ รังสีอินฟราเรดระยะไกลไม่เพียงให้ความร้อนจากแสง แต่ยังให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความสามารถของการแทรกซึมของรังสีที่สามารถเข้าลึกไปใต้ผิวหนังเพื่อขยายหลอดเลือด และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เมื่อการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น อาการตึงและปวดจะลดลงตามลำดับ เครื่องฮอทเฮ้าส์มีประสิทธิภาพในการรักษากล้ามเนื้อที่ปวดและเมื่อยล้าในผู้สูงอายุ
 
อาการของกล้ามเนื้อที่ปวดและเมื่อยล้าอันเป็นผลมาจากการมีอายุมากขึ้น บางคนรู้สึกปวดจากไหล่เท่านั้นขณะออกกำลังกาย ส่วนที่เหลือมีอาการปวดตลอดเวลา บางคนจะรู้สึกปวดบ่อยขณะนอนหลับในเวลากลางคืน ความสามารถในการแทรกซึมของรังสีอินฟราเรดระยะไกลสามารถส่งผ่านความร้อนลึกเข้าไปในข้อต่อและกระดูกใกล้เคียงบริเวณนั้น
 
การบรรเทาอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกายและฟื้นฟูการทำงานของข้อต่อ
 
กิจกรรมกีฬาที่หนักหน่วงอาจจะทำลายความสมดุลภายในร่างกาย ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ การบำบัดรักษาด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล เป็นการบำบัดรักษาที่ดีสำหรั[การเล่นกีฬาที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ เพราะมันสามารถรักษาและควบคุมอาการปวดที่เกี่ยวเนื่อง การบำบัดด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกลมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในการขับของเสียเช่น กรดแลกติก ปรับปรุงกระบวนการสร้างและย่อยสลาย และปรับปรุงระบบการไหลเวียนของเลือด นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกายและฟื้นฟูการทำงานของข้อต่อ
 

Music Therapy

ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
ดนตรี (Music)
                ดนตรี คือ  ลักษณะของเสียงที่ได้รับการจัดเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  โดยมีแบบแผนและโครงสร้างชัดเจน  สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ เพื่อความสุนทรีย์, เพื่อการบำบัดรักษา และเพื่อการศึกษา

ดนตรี  มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  จิตใจ  และการทำงานของสมองในหลาย ๆ ด้าน  จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีผล ดังนี้
ผลของดนตรีต่อร่างกาย สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ อัตราการหายใจ, อัตราการเต้นของชีพจร, ความดันโลหิต, การตอบสนองของม่านตา, ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนของเลือด
ผลของดนตรีต่อจิตใจและสมอง สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ อารมณ์, สติสัมปชัญญะ, จินตนาการ, การรับรู้สภาพความเป็นจริง และการสื่อสารทางอวัจนะภาษา

องค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรี  ก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป เช่น

1.     จังหวะหรือลีลา (Rhythm)  ช่วยสร้างเสริมสมาธิ (Concentration)  และช่วยในการผ่อนคลาย (Relax)
2.     ระดับเสียง (Pitch)  เสียงในระดับต่ำ  และระดับสูงปานกลาง จะช่วยให้เกิดความรู้สึกสงบ
3.     ความดัง  (Volume / Intensity)  พบว่าเสียงที่เบานุ่ม  จะทำให้เกิดความสงบสุข  สบายใจ  ในขณะที่เสียงดัง  ทำให้เกิดการเกร็ง  กระตุก  ของกล้ามเนื้อได้   ความดังที่เหมาะสมจะช่วยสร้างระเบียบการควบคุมตนเองได้ดี  มีความสงบ  และเกิดสมาธิ
4.     ทำนองเพลง  (Melody)  ช่วยในการระบายความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจ  ทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์และลดความวิตกกังวล
5.     การประสานเสียง  (Harmony)  ช่วยในการวัดระดับอารมณ์ความรู้สึกได้โดยดูจากปฏิกิริยาที่แสดงออกมาเมื่อฟังเสียงประสานต่าง ๆ จากบทเพลง



ดนตรีบำบัดคืออะไร
ดนตรีบำบัด  (Music  Therapy)  คือศาสตร์ที่ว่าด้วย  การนำดนตรี  หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรี  มาประยุกต์ใช้ เพื่อปรับเปลี่ยน  พัฒนา  และคงรักษาไว้ซึ่งสุขภาวะของร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  สังคม  โดยนักดนตรีบำบัดเป็นผู้ดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้  ผ่านทางกิจกรรมทางดนตรีต่าง ๆ อย่างมีรูปแบบโครงสร้างที่ชัดเจน  มีหลักเกณฑ์  และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์
เป้าหมายของดนตรีบำบัด  ไม่ได้เน้นที่ทักษะทางดนตรี  แต่เน้นในด้านพัฒนาการทางร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  สังคม  ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคลที่มารับการบำบัด  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายบริบท  เช่น ด้านการศึกษา  ด้านการแพทย์ 

 ลักษณะเด่นของดนตรีบำบัด

                ดนตรีบำบัดมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวหลายด้าน  ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับอายุ  และหลากหลายปัญหา  ลักษณะเด่น ได้แก่

1.    ประยุกต์เข้ากับระดับความสามารถของบุคคลได้ง่าย

2.    กระตุ้นการทำงานของสมองได้หลายส่วน
3.    กระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน
4.    ช่วยพัฒนาอารมณ์  จิตใจ
5.    เสริมสร้างทักษะทางสังคม และการสื่อสาร
6.    ให้การรับรู้ที่มีความหมาย  และความสนุกสนาน ไปพร้อมกัน
7.    ประสบความสำเร็จในการบำบัดได้ง่าย  เนื่องจากประยุกต์ใช้ได้ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับความสามารถ

 ประโยชน์ของดนตรีบำบัด

                ดนตรีบำบัดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ  ทั้งในเด็ก  วัยรุ่น  วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ  ตามเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความจำเป็นที่แตกต่างกันไป  ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ  เช่น ปัญหาบกพร่องของพัฒนาการ  สติปัญญา และการเรียนรู้, โรคซึมเศร้า, โรคอัลไซเมอร์, ปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง, ความพิการทางร่างกาย  อาการเจ็บปวด และภาวะอื่น ๆ
สำหรับบุคคลทั่วไป  ก็สามารถใช้ประโยชน์จากดนตรีบำบัดได้เช่นกัน  ช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียด  และในการออกกำลังกายเสริมสร้างสุขภาพ

ประโยชน์ของดนตรีบำบัดมีดังนี้

1.     ปรับสภาพจิตใจ  ให้อยู่ในสภาวะสมดุล  มีมุมมองในเชิงบวก
2.     ผ่อนคลายความตึงเครียด  ลดความวิตกกังวล  (Anxiety / Stress  Management)
3.     กระตุ้น  เสริมสร้าง และพัฒนาทักษะการเรียนรู้  และความจำ (Cognitive  Skill)
4.     กระตุ้นประสาทสัมผัสการรับรู้  (Perception)
5.     เสริมสร้างสมาธิ (Attention  Span)
6.     พัฒนาทักษะสังคม  (Social  Skill)
7.     พัฒนาทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษา  (Communication and Language Skill)
8.     พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว  (Motor  Skill)
9.     ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ  (Muscle Tension)
10.   ลดอาการเจ็บปวดจากสาเหตุต่าง ๆ  (Pain Management)
11.    ปรับลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม  (Behavior Modification)
12.    สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการบำบัดรักษาต่าง ๆ  (Therapeutic  Alliance)
13.    ช่วยเสริมในกระบวนการบำบัดทางจิตเวช  ทั้งในด้านการประเมินความรู้สึก  สร้างเสริมอารมณ์เชิงบวก  การควบคุมตนเอง  การแก้ปมขัดแย้งต่าง ๆ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว

โดยสรุปดนตรีบำบัด  มีประโยชน์หลากหลายขึ้นอยู่กับการนำไปใช้  เสริมสร้างสุขภาวะทาง

ร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  และสังคม  เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี  โดยบูรณาการเข้ากับการรักษาอื่นๆ

กระบวนการและรูปแบบดนตรีบำบัด

                ในการทำดนตรีบำบัด  ไม่มีกระบวนการและรูปแบบที่ตายตัว  แต่จะต้องออกแบบการบำบัดรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล  มีการวางแผนการบำบัดรายบุคคล  โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1.       การประเมินผู้รับการบำบัดรักษา

-       ศึกษาข้อมูลประวัติส่วนตัว  และประวัติทางการแพทย์
-       ประเมินปัญหา  และเป้าหมายที่ต้องการบำบัด
-       ประเมินสุขภาวะ  ทางร่างกาย  จิตใจ อารมณ์  สังคม  และทักษะการคิด

2.       วางแผนการบำบัดรักษา

-     ออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล และรายกลุ่ม  โดยยึดเป้าหมายเป็นสำคัญ
-     รูปแบบผสมผสาน  กระบวนการต่าง ๆ ทางดนตรี  เช่น ร้องเพลง  แต่งเพลง  ประสานเสียง  จินตนาการตาม  หรือลีลาประกอบ เป็นต้น

3.       ดำเนินการบำบัดรักษา

-     สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บำบัด กับผู้รับการบำบัด โดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ
-     ทำดนตรีบำบัด  ร่วมกับการบำบัดรักษารูปแบบอื่น ๆ  แบบบูรณาการ

4.       ประเมินผลการบำบัดรักษา

-      ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง  และปรับแผนการบำบัดให้เหมาะสม

 ดนตรีบำบัดในโรงพยาบาล

                ในโรงพยาบาลต่าง ๆ มีการนำดนตรีบำบัดมาร่วมบูรณาการเข้ากับการบำบัดรักษาอื่น ๆ  เพื่อเป้าหมายต่าง ๆ กัน ดังตัวอย่างเช่น
1.    กระตุ้น และส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ
2.    ช่วยเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายในการฟื้นฟูสมรรถภาพ
3.    ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ก้าวร้าว  รุนแรง  อยู่ไม่นิ่ง ร่วมกับพฤติกรรมบำบัด และการบำบัดโดยใช้ยา
4.    ช่วยให้สงบ  และนอนหลับได้  ในผู้ที่มีความกลัว  ความเครียด ร่วมกับการปรับสิ่งแวดล้อม และการใช้ยา
5.    ปรับเปลี่ยนอารมณ์  ร่วมกับการใช้ยา และจิตบำบัดในโรคซึมเศร้า
6.    เสริมในกระบวนการบำบัดต่าง ๆ ทางจิตเวช
7.    ลดความเจ็บปวด  ร่วมกับการใช้ยาแก้ปวด

 ดนตรีบำบัดในโรงเรียน
                ในโรงเรียนมีการนำดนตรีบำบัดมาใช้ใน 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ

1.   เสริมสร้างจุดแข็งในตัวเด็ก  ในทักษะด้านต่าง ๆ นอกเหนือจากทักษะทางดนตรี เช่น ทักษะการสื่อสาร  ทักษะการทำงานประสานสัมพันธ์กันของร่างกาย

2.   เสริมในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล  (IEP -  Individualized Educational Program)  สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
      อ้างอิงจาก
www.google.com
www.chi-exercise
www.quietwrodz.wordpress.com

Enzyme Therapy

เอนไซม์บำบัด (Enzyme Therapy)
เอนไซม์คืออะไร
เอนไซม์เป็นสารกลุ่มโปรตีนที่ร่างกายได้รับจาการรับประทานอาหารและสร้างขึ้นเอง ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้มีอยู่ก่อนที่ร่างกายจะมีปฏิกิริยาเคมีใดๆ เกิดขึ้น แม้กระทั่งวิตามิน แร่ธาตุ หรือฮอร์โมนก็ไม่สามารถทำงานได้หากไม่มีเอนไซม์ เอนไซม์มีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ ใช้กล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงสุดแล้วก็ตามเอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นพลังแห่งการขับเคลื่อนที่ทำให้เราสามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างมีสุขภาพดี หรือกล่าวได้ว่าเราไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากขาดเอนไซม์
แหล่งผลิตเอนไซม์
เอนไซม์ที่ใช้ในขบวนการเผาผลาญพลังงาน (Metabolize Enzyme) ทั้งหมดจะสร้างขึ้นในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญกับทุกขั้นตอนของการย่อยอาหารอายุที่มากขึ้นและความเครียดมีผลให้การสร้างเอนไซม์เหล่านี้ลดลง ส่วนเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) เช่น ผัก ผลไม้ จะคงความสามารถในการย่อยอาหารก็ต่อเมื่อยังไม่ผ่านการปรุงให้สุกเท่านั้น ที่มาอันมหัศจรรย์อีกแห่งของเอนไซม์ก็คือ เอนไซม์เสริมเพื่อช่วยย่อยอาหาร เอนไซม์เหล่านี้สกัดจากเอนไซม์ในพืช เนื่องจากการผลิตเอนไซม์ไม่สามารถทำเหมือนกับการสังเคราะห์วิตามินและแร่ธาตุ เราจึงต้องปลูกพืชแล้วผ่านนขบวนการสกัดในห้องปฏิบัติการ เอนไซม์อื่นๆ ที่บริโภคได้เป็นเอนไซม์จากสัตว์

เนื่องจากเอนไซม์จากพืชช่วยระบบย่อยอาหารได้ครบถ้วน และยังช่วยเสริมการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ จึงทำให้เอนไซม์กลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าเอนไซม์เสริมจากแหล่งอื่นๆ
ทำไมเราจึงต้องการเอนไซม์
80 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานในร่างกายถูกใช้ไปในขบวนการย่อยอาหารหากคุณอ่อนเพลีย เครียด อยู่ในสภาวะอากาศที่ร้อนหรือเย็นจัด ตั้งครรภ์ เดินทางโดยเครื่องบินบ่อยๆ คุณจะต้องการเอนไซม์เสริมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกระบวนการทำงานทั้งหมดของร่างกายต้องอาศัยเอนไซม์ เราจึงต้องเสริมเอนไซม์ให้ร่างกาย อายุที่มากขึ้นเป็นสาเหตุของการผลิตเอนไซม์ที่ลดลงผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กล่าวว่า โรคต่างๆ เกิดขึ้นจากการขาดแคลนหรือความไม่สมดุลของเอนไซม์ ดังนั้นเราทุกคนจึงไม่สามารถขาดเอนไซม์ได้
ชีวิตมีพลังด้วยธรรมชาติ
เอนไซม์ที่มหัศจรรย์เหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญ 2 อย่าง คือ ย่อยสลายอาหารให้เล็กลงพอที่จะผ่านเซลล์ผนังลำไส้ แล้วสารอาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่กระแสเลือดต่อไป การย่อยอาหารเป็นหนาที่สำคัญอย่างยิ่งของร่างกาย เมื่อเรารับประทานอาหาร เอนไซม์ย่อยอาหารจะถูกดึงมาจากทุกระบบของร่างกายในทันทีเพื่อทำการย่อยอาหาร
แต่ทว่าเอนไซม์ย่อยอาหารเหล่านี้ก็ยังมีหน้าที่อื่นๆอีกในการที่จะซ่อมแซม ควบคุม และกระตุ้นการทำงานของระบบอื่นๆของร่างกายด้วย แต่ระบบเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อส่งเอนไซม์ไปให้ระบบย่อยอาหาร วิธีแก้อย่างหนึ่งคือ รับประทานเฉพาะอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงให้สุก อาหารก็จะมีเอนไซม์เพียงพอที่จะย่อยตัวเองอยู่แล้ว อีกวิธีคือ รับประทานเอนไซม์เสริมสกัดจากพืช บรรจุในแคปซูลหรือเอนไซม์ผง
อย่าลืมว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ที่ไม่สมบูรณ์จะเกิดการหมักในลำไส้ หากเป็นอาหารกลุ่มไขมัน พวกผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันต่างๆ ของทอด จะเหม็นหืน และถ้าเป็นกลุ่มโปรตีน เช่นเนื้อสัตว์ ไก่ ปลา ถั่ว ต่างๆ ก็จะเน่า จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมเรานี้จะมีปัญหาเรื่อง ท้องผูก แก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลมหายใจเหม็น
อีกบทบาทหนึ่งของเอนไซม์คือ รักษาระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อันได้แก่ สลายไขมัน ลำเลียงอาหารเข้าสู่เซลล์ แจกจ่ายพลังงานไปยังเซลล์ที่ต้องการ ทุกกลไกของร่างกายตั้งแต่การสร้างกล้ามเนื้อกระดุก ต่อมต่างๆ และเส้นประสาท ไปจนถึงการกำจัดพิษออกจากร่างกาย ล้วนต้องอาศัยการทำงานของเอนไซม์ทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเอนไซม์เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตจากธรรมชาติ
จะทราบได้อย่างไรว่าเราขาดเอนไซม์
อาการที่เด่นชัดของการย่อยอาหารที่ไม่ดี คือ การเรอ มีแก๊ส จุกเสียด วิงเวียน ท้องผูก รู้สึกเหนื่อยหลังทานอาหาร แพ้อาหาร อีกวิธีคือสังเกตว่าคุณรับประทานอาหารประเภทใดมากที่สุดรวมถึงกาเฟอีน ช็อกโกแลต น้ำตาลฟอกขาว อาหารปรุงสุก อาหารแปรรูป
คืนชีวิตใหม่ให้ระบบย่อยอาหาร
มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหารของเรา ทำไมเราจึงรับประทานอาหารที่เราเคยรับประทานไม่ได้ คำถามเหล่านี้ถูกถามขึ้นเสมอ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ที่ว่ากันว่าร่างกายของคนเราสามารถย่อยและดูดซึมอาหารที่ปรุงสุกแล้ว ได้ดีกว่าอาหารที่ยังไม่ถูกความร้อนนั้นเป็นความเชื่อที่วันหนึ่งจะถูกพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องที่ผิด อาหารที่ถูกความร้อนแล้วจะผ่านระบบการย่อยอาหารของเราช้ากว่าอาหารที่ยังไม่ถูกความร้อน ดังนั้นจึงทำให้อาหารเหล่านั้นบูดเน่า ก่อให้เกิดสารพิษเข้าสู่ร่างกายของเรา มีผลต่อหัวใจ ทำให้ปวดหัว มีปัญหาทางสายตา แพ้ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย
เอนไซม์เสริมที่ได้จากพืชจะช่วยในการย่อยสลายอาหาร ในภาวะที่เหมาะสมจะเกิดขบวนการย่อยอาหารที่สมบูรณ์คือ
  • อาหารถูกย่อยอย่างสมบูรณ์
  • สารอาหาร ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
  • ของเสียจากขบวนการย่อยอาหารถูกกำจัดออกจากร่างกาย
นอกจากนี้เอนไซม์ที่ได้จากพืชนั้นมีประโยชน์มากกว่าเอนไซม์ที่ได้จากสัตว์เนื่องจากเอนไซม์จากพืชทำงานทันทีเมื่อเข้าสู่ระบบย่อยอาหารขณะที่อาหารยังอยู่ส่วนบนของกระเพาะอาหาร เอนไซม์ก็เริ่มทำงานแล้ว บางครั้งเอนไซม์เริ่มทำงานตั้งแต่อยู่ในหลอดอาหารด้วยซ้ำไป
ประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารของคุณขึ้นอยู่กับความสามารถของกระเพาะอาหารในการเริ่มขบวนการย่อยสลาย การที่จะมีสุขภาพที่ดีนั้นระบบย่อยอาหารของคุณต้องสามารถดูดซึมและแจกจ่ายออกไปได้ทั่วร่างกาย ส่วนแก๊สในทางเดินอาหาร เรารู้ว่าคาร์โบไฮเดรต สามารถเกิดการหมัก ไขมันเกิดการเหม็นหืน โปรตีนเกิดการเน่าเสีย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการย่อยสลายอาหารที่ไม่สมบูรณ์
ปัญหาใหญ่ของอาหารที่ไม่ถูกย่อยสลายคือ มันจะไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกายและสะสมเป็นของเสีย ทำให้เกิดปัญหาไขมันสูง มีแคลเซียมไปเกาะตามส่วนต่างๆ โรคไขข้อ มีเซลลูไลท์เกิดขึ้น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น
การสลายพิษและเพิ่มเสริม / การฟอกเลือดและลดคลอเลสเตอรอล
การสลายพิษ (detoxify)หมายถึง การทำลายหรือต่อต้านพิษในร่างกายเรา ในอดีตต้องอาศัย 2 ขบวนการ ขบวนการแรกคือ ต้องทำลายพิษโดยการยุติการรับประทาน (การอดอาหาร) ซึงมักจะทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นไข้หวัด เช่นตัวร้อน เพลีย ปวดเมื่อย ขบวนการต่อมาคือต้องเพิ่มอาหารบำรุงให้แก่ร่างกาย แต่ถ้าใช้เอนไซม์เราจะขจัดพิษและบำรุงร่างกายไปพร้อมๆกันโดยไม่มีผลข้างเคียง
การใช้เอนไซม์จะกำจัดความรู้สึกที่ไม่สบายที่มาพร้อมกับการกำจัดพิษ ทำให้เรารู้สึกสบายและมีพลังระดับสูง เป็นวิธีที่ ทำให้ร่างกายเราสวยงามและเป็นวิธีล้างและส่งเสริมร่างกาย
เมื่อเราแก่ตัวขึ้น ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดสารพิษจากเลือดและอวัยวะให้มีประสิทธิภาพถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ ระบบน้ำเหลืองกรองพวกสารที่ร่างกายไม่ต้องการออก เช่น เม็ดเลือดขาวจะทำลายแบคทีเรียและตัวมันเองก็ตายพร้อมแบคทีเรีย ระบบต่อมน้ำเหลืองนำเศษเซลล์เหล่านี้ไปที่ต่อมน้ำเหลืองเพื่อสลายให้เป็นสารที่ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ เพื่อนำมาใช้ใหม่ มีจำนวนคนนับล้านที่พยายามหาวิธีช่วยร่างกายกำจัดสารพิษ เช่น การบริโภคอาหาร Macrobiotic รับประทานอาหารเจ อดอาหาร หรือใช้สมุนไพร วิธีเหล่านี้ช่วยได้บ้างโดยเฉพาะการใช้สมุนไพร อย่างไรก็ตามสิ่งที่ขาดหายไป คือ เอนไซม์ ถ้าเราบริโภคเอนไซม์สม่ำเสมอจะช่วยทำให้เลือดบริสุทธิ์ โดยสลายโปรตีนเศษของเซลล์ และสารพิษชนิดอื่นๆ เมื่อเลือดอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ร่างกายเราก็สามารถที่จะซ่อมแซมตัวเองและสะสมแหล่งของเอนไซม์ ผลสุดท้ายคือร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การรับประทานเอนไซม์ไปพร้อมกับอาหารจะช่วยให้อาหารย่อยได้ดีขึ้นและทำให้มีการนำอาหารพวกนี้เข้าไปในร่างกาย ถ้ารับประทานเอนไซม์ระหว่างมื้อจะช่วยสลายอาหารที่ไม่ถูกย่อย เพาะฉะนั้นเอนไซม์สำคัญมากในการรักษาโรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินไม่สามารถระงับความอยากอาหารเลยทำให้รับประทานอาหารที่มีแครอรี่สูง แต่ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการ ซึ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันรวมกับระบบอื่นๆในร่างกาย เอนไซม์จากพืชเป็นวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้และป้องกันไม่ให้เราทำลายตัวเองอีกต่อไป
       อ้างอิงจาก
www.google.com
www.chi-exercise.com