หวานๆ

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

โรคเอดส์

                                               โรคเอดส์ (HIV)

                              

                                          

โรคเอดส์

เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrom) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ หรือ เอชไอวี (HIV - Human Immunodeficiency Syndrom) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น โดยเชื้อดังกล่าวจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวและเซลล์หลายชนิดในระบบภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญคือ CD4 ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายอ่อนแอ
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ที่ยังมีจำนวนเซลล์ CD4 มากกว่า 200 เซลล์ ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร     จะมีอาการแสดงได้หลากหลาย ขึ้นกับระยะของโรค เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่น อ่อนเพลีย หรือแม้ว่าไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งเรียกว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี เมื่อภูมิคุ้มกันถูกทำลายมากขึ้น จนกระทั่ง CD4น้อยกว่า 200 เซลล์ ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร หรือมี Lymphpcytes เพียงร้อยละ 14 แล้ว จึงเรียกได้ว่า เป็นโรคเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งในระยะนี้อาการจะรุนแรงขึ้น โดยมีเหงื่อออกกลางคืน มีไข้หนาวสั่น ไข้สูงเรื้อรัง ไอเรื้อรังและหายใจลำบาก ท้องร่วงเรื้อรัง ลิ้นเป็นฝ้าขาว ปวดศีรษะ ตามัว น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และจะเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดอื่นๆ ได้งายขึ้น เช่นวัณโรค ปอดบวม เยื้อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็ง

การติดเชื้อ

เชื้อไวรัสเอดส์ พบมากที่สุดในน้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมา คือน้ำอสุจิ น้ำหลั่งในช่องคลอด และน้ำหลั่งต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย เช่นน้ำไขสันหลัง น้ำในช่องปอด น้ำในช่องท้อง น้ำในเนื้อเยื่อหัวใจ ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย และที่ไม่พบเชื้อดังกล่าวเลย คือ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ
ดังนั้น ไวรัสเอดส์จึงติดต่อโดยช่องทางสำคัญ 3 ช่องทาง ดังนี้
1. ทางเลือด
  • การใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์
    ซึ่งพบมากในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด
  • การรับเลือดขณะผ่าตัด หรือขณะรักษาโรค
  • การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ และขณะคลอด
2. ทางน้ำหลั่ง (น้ำจากช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ)
  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง   หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติก็ตาม
3. ทางน้ำนม
  • การแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูกหลังคลอด โดยผ่านทางน้ำนม                                                          

    อาการของโรคเอดส์

    อาการของโรคเอดส์ มี 2 ระยะ ดังนี้
    1.  ระยะไม่ปรากฏอาการ (Asymtomatic Stage)
    ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด สุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ เลือดจะให้ผลบวกหลังรับเชื้อประมาณ 6 สัปดาห์ ขึ้นไป ผู้ติดเชื้อส่วนมากอยู่ในระยะนี้ และไม่ทราบว่าตนเอดงติดเชื้อ
    2.  ระยะที่มีอาการ (Symtomatic)
    เป็นระยะที่เริ่มแสดงอาการภายหลังจากได้รับเชื้อเอดส์ประมาณ 7-8 ปี แบ่งย่อยเป็น 2 ระยะ คือ
    2.1  ระยะเริ่มปรากฏอาการ (Symtomatic HIV Infection)
    เดิมเรียกว่าเป็นระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ หรือ ARC (AIDS - Related Complex) ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน เช่น
    • มีเชื้อราในปาก บริเวณกระพุ้งแก้มและเพดานปาก
    • ต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
    • เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม
    • มีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือนโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย มีตุ่มคันบริเวณผิวหนัง น้ำหนักลด
    2.2  ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
    ระยะนี้ ภูมิต้านทานของผู้ป่วยถูกทำลายไปมาก   ทำให้ติดโรคที่มักไม่เป็นในคนปกติ ที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใดและเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย

    เอดส์ป้องกันได้

    วิธีการที่จะช่วยป้องกันและหยุดยั้งการติดเชื้อเอดส์ คือ การปิดกั้นช่องทางการติดต่อโรค และปัจจัยเสี่ยงที่นำสู่โรค ได้แก่
    • การไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์หรือป่วยเป็นเอดส์ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้ง
    • การไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนไม่ดื่มเหล้าและไม่ใช้สารเสพติด อันจะทำให้ขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ และการป้องกันตัวเองจากโรคภัยต่างๆ
    • การตรวจเลือดและขอรับบริการปรึกษาเรื่องโรคเอดส์ก่อนแต่งงานและก่อนที่คิดจะมีบุตร
    • หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น หากมีความจำเป็น ต้องเป็นเลือดที่ผ่านการทดสอบว่า ปราศจากเชื้อไวรัสเอดส์แล้วเท่านั้น
    อ้างอิงจาก www.kpo.moph.go.th  www.thai.cri.cn

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น